คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์
เวลาที่เราพูดถึง "การเขียน" คนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกเลยไปถึง "การเป็นนักเขียน" เลยทันที ทึกทักคิดเอาเองว่า "ต้องเป็นนักเขียนเท่านั้น" จึงจะสามารถเขียนได้ "การเขียน" ในความหมายของบทความชิ้นนี้ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญว่าจะต้อง "เขียนแบบนักเขียน" เท่านั้น แต่ผมหมายถึงการลงมือเขียนจริง คุณจะถูกเรียกว่าเป็นนักเขียนหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
ผมเชื่อว่าใน พ.ศ.นี้ คนไทยที่ "เขียนไม่ได้" อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผมสังเกตว่าคนไทยจำนวนมากละเลยทักษะการเขียนไป จะอ้างว่าเป็นเพราะเหตุใดก็ตามแต่
คนไทยใช้การเขียนน้อยเกินไปทั้งๆ ที่การเขียนก็ใช้แค่กระดาษเปล่าๆ ปากกาหรือดินสอสักด้ามเพียงเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีโน้ตบุ๊กแบบพกพาหรือจะต้องเขียนด้วยการพิมพ์ลงไปในคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ผมอยากจะเรียนว่า สิ่งที่ผมพบก็คือ "การเขียน" จะสามารถช่วยทำให้สมองทั้งสามชั้นของคุณสมดุลสอดประสานกันได้มากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว คือ "สมองชั้นนอก-ได้คิด, สมองชั้นกลาง-ได้รู้สึก และสมองชั้นต้น-ได้ลงมือกระทำคือขีดเขียน"
ในระยะหลังๆ มานี้ ผมเริ่มนำ "การเขียน" เข้ามาใช้ในเวิร์กช็อปมากขึ้นกว่าเดิมคือให้ผู้เข้าร่วมเขียนทุกๆ วัน เราจะจัด "สมุดประจำตัว" ที่เราเรียกว่า "สมุดบันทึกการเดินทาง"(Journal of Journey) ให้กับผู้เข้าร่วมทุกคนไว้ติดตัวตลอดระยะเวลาการทำเวิร์กช็อป
การเขียนก็เริ่มต้นจากง่ายๆ ครับ เป็นการเขียนที่ผู้เข้าร่วมทุกคนจะเขียนได้ ผมให้เวลาประมาณสองสามนาที ลองให้ทุกคนเขียน "สิ่งที่คุณกำลังรับรู้อยู่ในขณะนี้ว่ามีอะไรบ้าง?" ให้ทุกคนลองเขียนสิ่งที่แต่ละคนได้รับรู้ตามจริงของแต่ละคน ผมมักจะแนะนำให้ผู้เข้าร่วมลองบันทึกวันเวลาที่เขียนไว้ในสมุดประจำตัวด้วยในทฤษฎีตัวยูของออตโตชาร์มเมอร์ "การเขียน" ด้วยโจทย์ง่ายๆ ข้อนี้จะช่วยให้ผู้เขียนได้เริ่มขยับลงไปตามขาลงของตัวยู เป็นระดับที่สองคือ "เริ่มสังเกต" มองเห็นรับรู้และ "เปิดความคิด" ของตัวเขาเองเพราะคนส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นอัตโนมัติแบบเดิมๆ ที่เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ทั่วๆ ไป ซึ่งตรงนี้เรียกว่าเป็นระดับที่หนึ่งของตัวยูหรือดาวน์โหลดดิ้ง ทำให้เราไม่ได้ "มองเห็น" สิ่งที่เป็นจริงภาพที่เป็นจริงหรือแม้แต่สถานการณ์ที่เป็นจริงเสียทีเดียวนัก วันแรกๆ ผู้เข้าร่วมหลายๆ ท่านก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็มักจะยังไม่อธิบายอะไรมากมาย อยากให้ลองเรียนรู้ด้วยการสัมผัสจริงมากกว่า และการเรียนรู้ก็ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อเขา "ได้ลงมือทำจริง ได้เขียนจริง" ด้วยตัวของเขาเอง และผมมักจะให้ผู้เข้าร่วมทำซ้ำด้วยการเขียนสั้นๆ แบบนี้ด้วยโจทย์เดิม ในวันแรกสองถึงสามครั้ง ในช่วงก่อนเริ่มกิจกรรมแต่ละช่วงวันต่อๆ มาก็จะค่อยๆ เพิ่มคำถามเข้าไปอีกว่าเมื่อแต่ละท่านได้รับรู้แล้วว่าเห็นอะไรบ้าง หรือได้ยินอะไรบ้าง ให้ลองเขียน "ความรู้สึก" ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต่อสิ่งที่เห็นนั้นๆ ด้วยว่า "รู้สึกอย่างไร?" กำกับเข้าไปในบรรทัดของการเขียนด้วย ขั้นตอนนี้ก็จะค่อยๆ เป็นการนำพาให้ผู้เข้าร่วมได้ลงลึกไปสู่ระดับที่สามของทฤษฎียูคือ "การเปิดหัวใจ" คือคุณรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่ได้รับรู้ ณ เวลานั้น ณ สถานที่นั้นๆและเมื่อ "การเขียน" ได้ดำเนินไปซ้ำๆ มากรอบขึ้นเรื่อยๆ ผู้เข้าร่วมก็จะค่อยๆ ลืมเรื่องการเป็นนักเขียนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาได้สัมผัสเองแล้วว่า "เขาเขียนได้" สิ่งที่เขียนไม่มีถูกไม่มีผิด มันเป็นเพียงการบันทึกการเดินทางด้านในของคุณ สิ่งที่คุณพานพบจริงๆ ณ เวลานั้นๆ และเมื่อโอกาสเวลาสถานที่บริบทเหมาะสม ผมก็จะ "โยนโจทย์" เพื่อช่วยนำพาให้ผู้เข้าร่วมได้ลงลึกลงไปสู่ "ระดับที่สี่" ของทฤษฎียูหรือ "ก้นตัวยู" ซึ่งก็คือ "ความหมายของชีวิต" โดยอาจจะเริ่มต้นจากการให้ทุกคนลองเขียน "เรื่องราวที่เคยภาคภูมิใจ" ในชีวิตของแต่ละคนมาอย่างน้อยยี่สิบข้อ จากนั้น ผมก็จะตั้งคำถามว่า "แล้วคุณจะสามารถทำอะไรได้อีกที่ทำให้คุณจะสามารถรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตของคุณ" “คุณเป็นใคร?" และ "อะไรที่คุณอยากจะทำบ้าง?" อะไรประมาณนี้ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า "การเขียน" ไม่ได้มีไว้เฉพาะกับผู้ที่ต้องการเป็นนักเขียนเท่านั้น ในโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ แต่ "การเขียน" มีไว้เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาส "ตอกย้ำ" สิ่งที่พวกเขากำลังคิดกำลังรู้สึกให้เกิดความ "คมชัด" หนักแน่นมากขึ้น โดยไม่ปล่อยให้มันฟุ้งลอยหายกลับไปในอากาศเสียก่อนต่างหาก ในเบื้องต้นผมยอมรับว่าผมไม่ค่อยแน่ใจในสมมติฐานนี้ เพราะผมเองก็เผลอไปเชื่อว่า "คนไทยไม่ชอบอ่านไม่ชอบเขียน" เหมือนกันแต่เมื่อได้ลองนำมาใช้จริงๆ ในเวิร์กช็อป
ผมพบว่า "การเขียน" ได้ช่วยทำให้ "กระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง" ของผู้คนนั้น เกิดความหนักแน่นมั่นคงมากขึ้นได้จริง การบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปในสมุดบันทึกการเดินทางของพวกเขาแต่ละคนนั้นได้ช่วยทำให้สิ่งที่เขาคิดและรู้สึกนั้นเป็นรูปธรรมขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง การก่อเกิดเป็นตัวอักษรที่เกิดจากปลายปากกาของแต่ละคนในสภาวะที่พวกเขากำลัง "ดำรงอยู่" ในขณะนั้นได้ทำให้เกิด "เส้นทางใหม่" ที่ชัดเจนมากในสมองของแต่ละคนไม่มีอะไรที่จะทำให้ "ความคิดของคุณ" ชัดเจนหนักแน่นได้อย่างง่ายๆ และรวดเร็วที่สุดมากไปกว่า "การเขียน" ด้วย "มือของคุณเอง" แบบนี้อีกแล้วครับ
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น